ในปี
พ.ศ. 2310-
2325 เริ่มต้นหลังจากที่
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่
กรุงธนบุรี
โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง
มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัย
อยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์จักรี และทรงย้ายเมืองหลวงมายัง
กรุงเทพมหานคร เริ่มยุคสมัยแห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้
แคว้นล้านนาปลอด
จากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน
โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่
สงครามเก้าทัพ,
สงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจน
กบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และ
อานามสยามยุทธกับญวน
ในช่วงนี้
กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก
ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก
ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน
จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด
[15] มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจาก
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ[15] ซึ่งเข้ามาในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น
สนธิสัญญาเบอร์นี และ
สนธิสัญญาโรเบิร์ต[15] แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม
ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ
เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้า
ฝิ่นอันได้กำไรมหาศาล
[15] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก
การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี
พ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนิน
นโยบายทอดไมตรีกับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมี
การเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะ
รัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า
คณะราษฎร ได้
ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จาก
สมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็น
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองแก่ประเทศ
ไทยอย่างมาก
และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านาน
ต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก
ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำใน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง
โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน
เป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ
และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา
ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์
"ชิงสุกก่อนห่าม"
เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ใน
ระบอบเผด็จการทหาร
สงครามโลกครั้งที่สอง
ในระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพล
แปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกราน
อินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่
การรบที่เกาะช้าง
ต่อมา หลังจาก
การโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์
กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน
รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
รวมทั้งลงนามใน
สนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น
และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ
เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของ
ขบวนการเสรีไทย
ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง
เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส
และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น
สงครามเย็น
รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็น
พันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่าง
สงครามเย็น ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทร
อินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่
สงครามเกาหลี และ
สงครามเวียดนาม
ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ
1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม
ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่
และกองโจรก็หมดไปในที่สุด
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น
ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น
การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด
ภายหลังจาก
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจ
อธิปไตยได้
อย่างถาวรอีกต่อไป
อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง
ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ
กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล
และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น
โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก
กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน